วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 11

บันทีกการเรียน ครั้งที่ 11
วันพุธ ที่ 15 มีนาคม 2560
เวลา 08.30 - 12.30 น.

เนื้อหาการเรียน
                วันนี้เริ่มการเรียนโดยอาจารย์นำผนการสอนการจัดประสบการณ์มาให้ดู แล้วเรียนเนื้อหาการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษ คือ การจัดให้เด้กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศากับเด็กทั้วไปได้ทำร่วมกัน โดยใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษต้องร่วมมือกันดูแลเป็นพิเศษ 
        การเรียนร่วมบางเวลา (Integration) คือ การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming) คือ การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
 Wilson , 2007  การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก โดยการสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้ เพื่อเป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง
สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
       เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน (Education for All) การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยเด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน” ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน
ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
- ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
- “สอนได้”
- เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด
บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม
        เมื่อพบอาการผิดปกติของเด็ก ครูไม่ควรวินิจฉัยเด็ก ครูไม่สามารถวินิจฉัยเด็กได้ ต้องให้ผู้ปกครองพาไปพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ยินยัน โดยต้องเล่าความเป็นจริงจากสิ่งที่เห็นให้ผู้ปกครองฟัง แล้วครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่าผิดปกติ และครูห้ามตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก (ฉายา)
ครูทำอะไรบ้าง
- ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
- ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
- สังเกตเด็กอย่างมีระบบ โดยการสังเกตได้ดีที่สุดคือครู
- จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ
ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
- ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
- ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
- พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป
การบันทึกการสังเกต
- การนับอย่างง่ายๆ คือ นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรมกี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม
- การบันทึกต่อเนื่อง คือ ให้รายละเอียดได้มาก เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ
- การบันทึกไม่ต่อเนื่อง คือ บันทึกลงบัตรเล็กๆ เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง
การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
- ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
- พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ
การตัดสินใจ
- ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
- พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่
        จากนั้นอาจารย์ให้ดูวีดีโอรายการ super10 โดยมีน้องช่อแก้ว น้องเป็นดาวน์ซินโดรม ที่ไปออกรายการเล่นขิม และอาจารย์ให้วาดรูปดอกบัวจากภาพที่อาจารย์เตรียมมาให้เหมือนที่สุด โดยกิจกรรมนี้วัดความรู้สึกจากสิ่งที่เห็น และเอาตัวอย่างจากเพื่อนในห้องมาเป็นแบบของเด็กพิเศษ

การนำไปประยุกต์ใช้
        สามารถนำสิ่งที่เรียนในวันนี้ไปให้สังเกตพฤติกรรมและบันทึกได้ในอนาคต

การประเมิน
        ทุกคนสนุกและสนใจการเรียนมาก

ภาพกิจกรรม










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น